วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561

กิจกรรมที่1

ฐานที่ 1 กลยุทธ์การเรียนการสอน 

คำชี้แจง : ให้นักศึกษาอ่านคำชี้แจงและปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้


กิจกรรมที่ 1 :
“ทบทวนความรู้เดิม ศึกษาธรรมชาติของเนื้อหา ค้นคว้าประเด็นที่เราสนใจ”

กิจกรรมที่ 1.1 ทบทวนความรู้เดิม (10  นาที)*             

อุปกรณ์เบื้องต้นที่ใช้ : ปากกา/หนังสือการออกแบบฯ

 บทบาทผู้เรียน : การคิด การคิดไตร่ตรอง การใช้เหตุผลเพื่อทบทวนความรู้เดิม
                      “เราได้เรียนรู้และเข้าใจถึงความหมายของคำว่า การเรียนการสอน (Instruction)และ การสอน (Teaching) แล้ว ในบทที่ 4 นี้จะนำพวกเราเรียนรู้ในเรื่องของ กลยุทธ์การเรียนการสอน ซึ่งเราต้องศึกษาทำความเข้าใจว่า กลยุทธ์การเรียนการสอนนั้นคืออะไรเสียก่อน จึงจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดในภาพรวมนี้ได้........เอาล่ะ! ถึงคราวที่เราจะทบทวนความรู้เดิมกันเสียก่อนว่าเรา Get เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ห้ามเปิดหนังสือนะ ตอบตามที่รู้เลยจริงๆ ใครเปิดหนังสือหรือค้นในเว็บไซต์ตอบขอให้ไม่มีแฟน จบนะ”555

1.1 จงตอบคำถามต่อไปนี้ (ใช้วิธีการเขียนตอบเท่านั้น)
1) กลยุทธ์การเรียนการสอน คืออะไร

ตอบ วิธีการสอนและเทคนิคการสอนต่างๆ

2) สภาวการณ์การเรียนการสอนพื้นฐานของการเรียนการสอนปกติ คืออะไร? ได้แก่อะไรบ้าง?

ตอบ การวางแผนการจัดการเรียนการสอน

3) ความต้องการและธรรมชาติของทฤษฏีการเรียนการสอนคืออะไร?

ตอบ วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดของการประสบผลสำเร็จในความรู้หรือทักษะ



กิจกรรมที่ 1.2 ศึกษาธรรมชาติของเนื้อหา (30 นาที)*

“กิจกรรมในขั้นนี้ง่ายมากเลยนะ.. เราแค่ใช้ทักษะการอ่านและทำความเข้าใจเท่านั้น  กิจกรรมในขั้นนี้ก็คือ ให้นักศึกษาอ่านเพื่อทำความเข้าใจเนื้อหาโดยคร่าวๆ ว่า ในบทที่ 4 เรื่องกลยุทธ์การออกแบบการสอน นั้น มันได้กล่าวถึงหัวข้อหลักอะไรบ้าง มีอะไรสำคัญบ้าง  โดยสามารถดูได้จากหน้าสารบัญนะ...อย่าหาว่าพี่จ๊าบสอนเลยนะ....จะบอกเคล็ดลับ 4 ประการ ในการอ่านไว้ให้ว่า.....
อุปกรณ์ที่ใช้ : หนังสือฯ/ปากกา/ปากกาสี/กระดาษโน้ต (ถ้ามี)
เคล็ดลับที่ 1 
ในการอ่านแบบจับใจความ ผู้อ่านต้องเริ่มต้นด้วยการมีสติ รู้ว่ากำลังอ่านเพื่อจับใจความ เพราะฉะนั้นห้ามหลงใหล หรือ “อิน” ทางด้านอารมณ์ไปกับเนื้อหา โดยส่วนใหญ่เราจะไม่นำเทคนิคอ่านจับใจความไปใช้กับการอ่านนวนิยาย หรือการอ่านบทกวี เพื่ออรรถรสนะ ยกเว้นจะเรียนสาขาอักษรศาสตร์หรือมนุษยศาสตร์ และอ่านเพื่อเตรียมตัวสอบไม่ทัน แบบที่เคยทำเมื่อสมัยเรียน
การอ่านอย่างมีสตินั้น อ่านไปก็ต้องพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่า “ทำไม” “อะไร” “เมื่อไร” “อย่างไร” “ที่ไหน” ในบรรดาคำถามทั้ง 5 นั้น “ทำไม” เป็นคำถามที่ทรงพลังที่สุด
เคล็ดลับที่ 2 
ให้เปิดดูสารบัญหรือเรื่องย่อ (ถ้ามี) เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ก่อน เมื่อเห็นภาพใหญ่แล้วจะทำให้ง่ายขึ้นใน
การจับใจความนะ
หลังจากเปิดดูสารบัญหรือเรื่องย่อ เราควรจะทราบข้อมูล เพื่อตอบคำถาม“อะไร”ดังต่อไปนี้คือ เรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร?  ผู้เขียนต้องการนำเสนออะไร (แบบคร่าวๆ) และมีหลักในการนำเสนออย่างไร?  เช่น นักเขียนบางคนเริ่มจากการวางหัวเรื่องให้คนสงสัย แล้วค่อยๆ คลี่คลาย เพราะฉะนั้นช่วงท้ายจึงสำคัญ ในขณะที่บางคนจะวางประเด็นหลักไว้ก่อน แล้วจึงหาเหตุผลและประเด็นมาสนับสนุน
เคล็ดลับที่ 3
สรุปความแต่ละบท เพื่อตอบคำถามที่เหลือคือ “ทำไม” “อย่างไร” “ที่ไหน” ดังเช่นตัวอย่างที่ยกไปแล้ว 
บางคนจะเขียนใจความหลักของแต่ละย่อหน้าไว้ในประโยคแรก แล้วจึงค่อยๆ อธิบาย เพราะฉะนั้น หากพบการเขียนสไตล์นี้ สามารถอ่านประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า ก็จะได้เนื้อหาของย่อหน้าทั้งหมด 100 หน้า อาจจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง หรือผู้เขียนบางคนวิธีสรุปความในตอนท้ายของแต่ละย่อหน้า อันนี้ถ้าจับสไตล์ได้ก็อ่านเพียงส่วนท้ายของแต่ละย่อหน้า หรือแต่ละบทเท่านั้น
เคล็ดลับที่ 4 
การทำโน้ตย่อ หรือ Short notes เป็นการบันทึกการสรุปใจความหลักเอาไว้ ประโยชน์ของการทำโน้ตย่อ
คือ วันหลังมาอ่านก็ไม่ต้องเสียเวลาสรุปความอีก เหมาะสำหรับย่อสรุปสิ่งที่มีความสำคัญ และต้องนำกลับมาใช้หรืออ้างอิงบ่อยๆ รวมถึงโน้ตไว้เพื่ออ่านสรุปก่อนสอบด้วย หากทำโน้ตย่อได้ทุกวิชาที่เรียน รับประกันว่าสอบได้คะแนนดีแน่ๆ พี่จ๊าบทำตลอดเวลาที่เรียนนะ โดยเฉพาะวิชาที่มีประเด็นมากๆ จำไม่ไหว.....”


กิจกรรมที่ 1.3 ค้นคว้าประเด็นที่เราสนใจ (10 นาที)*

“จากกิจกรรมที่ 2 จากหัวข้อในบทที่ 4 กลยุทธ์การเรียนการสอนที่เรา
ได้อ่านและศึกษามาทั้ง 9 หัวข้อมาอย่างคร่าวๆ แล้ว ขอให้นักศึกษาได้เลือก หัวข้อที่สนใจมา 5 หัวข้อ โดยให้ระบุหัวข้อที่สนใจโดยเรียงลำดับจากมากที่สุดไปยังหัวข้อที่สนใจน้อยที่สุด ตามหมายเลขต่อไปนี้……….” 
อุปกรณ์ที่ใช้ : หนังสือฯ/ปากกา/ปากกาสี/กระดาษโน้ต (ถ้ามี)
ฉันมีความอรรถรสและสนใจใคร่รู้ในหัวข้อ (เขียนชื่อหัวข้อตามสารบัญ)

1. หัวข้อ เรื่อง  การจัดการเรียนรู้แบบสาธิต (Demonstration Method) 

สาระสำคัญของหัวข้อนี้ 

    คือ กระบวนการที่ผู้สอนหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการแสดงหรือกระทำให้ดูเป็นตัวอย่างพร้อมๆ กับการบอก อธิบาย ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้จากการสังเกตกระบวนการขั้นตอนการสาธิตนั้นๆ แล้วให้ผู้เรียนซักถาม อภิปราย และสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากการสาธิต การจัดการเรียนรู้แบบนี้จึงเหมาะสมสำหรับการสอนที่ต้องการให้ผู้เรียนเห็นขั้นตอนของการปฏิบัติ เช่น วิชาพลศึกษา นาฏศิลป์ ศิลปศึกษา เป็นต้น

เหตุผลที่สนใจ 

    เพราะ เป็นการสอนผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้จากการได้ดูของจริงการปฎิบัติจริง

2. หัวข้อ เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม(Constructivism)

สาระสำคัญของหัวข้อนี้

    คือ ในการเรียนรู้ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้กระทำ (active) และสร้างความรู้ ความเชื่อพื้นฐานของ Constructivism มีรากฐานมาจาก 2 แหล่ง คือจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ และวิก็อทสกี้ ทฤษฎี Constructivism จึงแบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี คือ

    1. Cognitive Constructivism หมายถึง ทฤษฎีการเรียนรู้พุทธิปัญญานิยม ที่มีรากฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของพีอาเจต์ ทฤษฎีนี้ถือว่าผู้เรียนเป็นผู้กระทำ (active) และเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นในใจเอง ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทในการก่อให้เกิดความไม่สมดุลทางพุทธิปัญญาขึ้น เป็นเหตุให้ผู้เรียน ปรับความเข้าใจเดิมที่มีอยู่ให้เข้ากับข้อมูลข่าวสารใหม่ จนกระทั่ง เกิดความสมดุลทางพุทธิปัญญา หรือเกิดความรู้ใหม่ขึ้น


    2. Social Constructivism เป็นทฤษฎีที่มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีพัฒนาการของวิก็อทสกี้ ซึ่งถือว่าผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น (ผู้ใหญ่หรือเพื่อน) ในขณะที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรืองาน ในสภาวะสังคม (Social Context) ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญและขาดไม่ได้ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมทำให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยการเปลี่ยนแปรความเข้าใจเดิมให้ถูกต้องหรือซับซ้อนกว้างขวางขึ้น

เหตุผลที่สนใจ 
    เพราะ เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนนั้นสร้างความรู้ด้วยตนเองนั้น เป็นการฝึกสมองและปัญญาให้พีฒนาอยู่เสมอ

3. หัวข้อ เรื่อง การเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ(Child-centered learning)

สาระสำคัญของหัวข้อนี้ 

    คือ เป็นวิธีการซึ่งช่วยปลูกฝังให้ผู้เรียนรู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง อันก่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยการเรียนรู้นี้จะช่วยเพิ่มบทบาทของผู้เรียนภายในห้องเรียน และลดบทบาทการบรรยายหน้าห้องเรียนลง ซึ่งผู้สอนจะปรับบทบาทจากการบรรยายเป็นหลักเป็นการเป็นผู้อำนวยความสะดวก โดยจะต้องเตรียมสภาพห้องเรียนและวิธีการสอนที่เอื้อต่อแนวคิดนี้[3] ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยให้มีพัฒนาการของผู้เรียนสูงที่สุด

เหตุผลที่สนใจ
     เพราะ เป็นการสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างแท้จริงและมีความสุข

4. หัวข้อ เรื่อง ทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike)

สาระสำคัญของหัวข้อนี้ 

    คือ ทฤษฎีสัมพันธ์เชื่อมโยง กล่าวถึง การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง โดยมีหลักพื้นฐานว่า การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนองที่มักจะออกมาในรูปแบบต่างๆ หลายรูปแบบ โดยการลองถูกลองผิด จนกว่าจะพบรูปแบบที่ดีและเหมาะสมที่สุด


เหตุผลที่สนใจ 
    เพราะ เป็นการสอนที่ทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในรูปแบบของการแก้ปัญหาและลองผิดลองถูกด้วยตนเอง

5. หัวข้อ เรื่อง การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ Bloom (Bloom's Taxonomy)


สาระสำคัญของหัวข้อนี้

    คือ Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้เป็น 6 ระดับ
  • ความรู้ที่เกิดจากความจำ (knowledge) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
  • ความเข้าใจ (Comprehend)
  • การประยุกต์ (Application)
  • การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้
  • การสังเคราะห์ (Synthesis) สามารถนำส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ให้แตกต่างจากรูปเดิม เน้นโครงสร้างใหม่
  • การประเมินค่า (Evaluation) วัดได้ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด ประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่แน่ชัด

เหตุผลที่สนใจ 

    เพราะ ได้เข้าใจและแบ่งแยกการเรียนรู้ตามระดับได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ชุดที่7

ชุดที่ 7 วิชา การออกแบบและการจัดการเรียนรู้   ประจำภาคเรียนที่ 2 / 2560       โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช       ...